ทำไมถึงต้องนิทานทานพื้นบ้าน ?

                                                               โดย...นายพิชวญะ ศรีคันธมาส รหัสนักศึกษา 58115550222
สาขาวิชาภาษาไทย คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี
         
          ย้อนกลับไปในยุคสมัยที่เทคโนโลยียังไม่ก้าวหน้ามาจนในทุกวันนี้ ในยุคสมัยที่พ่อ แม่ หรือใครก็ตาม มอบความสนุกสนานเพลิดเพลินให้คนในครอบครัวหรือในชุมชน โดยการเล่าเรื่องราวที่น่าตื่นเต้นสนุกสนาน และมีข้อคิดตามมา เราทุกคนรู้จักเรื่องเล่านั้น ในชื่อว่านิทาน การเล่านิทานเป็นการให้ความสนุกสนานแก่ผู้ฟังโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย แต่ประโยชน์ของนิทานไม่เพียงแต่จะมอบความสนุกสนานเพลิดเพลินเพียงอย่างเดียว หากแต่ยังสร้างความสนิทสนม ระหว่างผู้ใหญ่กับเด็ก หรือเพื่อนบ้านในหมู่บ้าน ในบางชุมชนก็อาจมีศาลาไว้สำหรับเล่านิทาน เพราะนิทานเป็นกลวิธีการอบรมสั่งสอนกล่อมเกลาจิตใจที่ผู้ใหญ่มักใช้กับเด็กๆ โดยตัวเด็กของเด็กเองจะไม่รู้ว่า ผู้ใหญ่กำลังอบรมสั่งสอนตน

ความหมายของนิทานพื้นบ้าน
         นิทานพื้นบ้าน เป็นคำที่คุ้นหูของทุกคน เพราะเมื่อได้ยินคำว่านิทาน ทุกคนจะนึกถึงเรื่องเล่าที่มีคติสอนใจแฝงมาท้ายเรื่อง นิยามของนิทานพื้นบ้านจะแตกต่างออกไปตามผู้ที่ให้ความหมาย ซึ่งนักวิชาการ ได้ให้ความหมายของนิทานพื้นบ้านไว้ ดังนี้
         คำว่านิทานเป็นคำศัพท์ภาษาบาลีแปลว่าเหตุการณ์ เล่าเรื่อง นิยาย และมีคำศัพท์ นิทานกถา แปลว่าการเล่าเรื่อง พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ให้นิยามว่า นิทาน หมายถึง เรื่องที่เล่ากันมา เช่น นิทานชาดก (นิทานพื้นบ้านศึกษา, 2543, หน้า 5)
         นิทานพื้นบ้านเป็นคติชนนิยม หมายถึง เรื่องเล่าที่สืบทอดต่อๆกันมา กลายเป็นมรดกทางวัฒนธรรมอย่างหนึ่ง เป็นเรื่องเล่าสืบทอดจากปากต่อปาก ด้วยความทรงจำ จึงไม่ทราบชื่อผู้แต่ง เรียกว่า “นิทานพื้นบ้าน” (นิทานพื้นบ้าน ภูมิปัญญาทางภาษา, 2546, หน้า 10)
         นิทานพื้นบ้าน หมายถึง เรื่องเล่าที่เล่าสืบต่อกันมา ดั้งเดิมนั้นถ่ายทอดกันด้วยมุขปาฐะ( การเล่าปากต่อปากกันมา การบอกเล่าต่อๆกันมา โดยมิได้เขียนเป็นลายลักษณ์ ) แต่ก็มีอยู่มากที่บันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร และนิทานพื้นบ้านต้องเล่าด้วยถ้อยคำธรรมดา ภาษาชาวบ้านทั่วๆไป เป็นเรื่องเล่าต่อๆกันมาช้านาน หลายชั่วอายุคน ไม่สามารถรู้ได้ว่าใครเป็นคนเล่าดั้งเดิม ต้นเรื่อง (นิทานพื้นบ้าน, 2554, ย่อหน้า 1)
         นิทาน หมายถึงเรื่องเล่าที่เล่าสืบต่อกันมา มุ่งให้เห็นความบันเทิงแทรก แนวคิด คติสอนใจ จนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของคนไทยอย่างหนึ่ง อาจเรียกนิทาน พื้นบ้าน นิทานพื้นเมือง นิทานชาวบ้าน เป็นต้น (ตำนาน, 2550, ย่อหน้า 1)
         นิทานพื้นบ้าน หมายถึงเรื่องที่เล่าสืบกันเป็นมรดกทางวัฒนธรรม ส่วนใหญ่ถ่ายทอดด้วยวาจา แต่ก็มีจำนวนมากที่ได้รับการบันทึกไว้ นิทานพื้นบ้านปรากฏอยู่ในทุกๆ วัฒนธรรม มีทั้งความแตกต่าง หลากหลาย และความเหมือน มีความสำคัญในการเข้าถึงวัฒนธรรมของแต่ละกลุ่มชน (คุณค่าของนิทานพื้นบ้าน, 2550, ย่อหน้า 1)
         จากข้อความในข้างต้นสรุปได้ว่า นิทานพื้นบ้าน คือเรื่องเล่าที่มนุษย์ผูกเรื่องขึ้นด้วยภูมิปัญญา โดยส่วนใหญ่จะถ่ายทอดด้วยวิธีมุขปาฐะหรือเล่ากันปากต่อปาก เนื้อเรื่องมีหลากหลายและใช้เล่าเพื่อจุดประสงค์ต่างๆกัน ตามโอกาสและสภาพแวดล้อมของแต่ละท้องถิ่น คำที่ใช้เรียกนิทานมีต่างๆกันไป เช่น นิทานชาวบ้าน นิทานพื้นบ้าน นิทานพื้นเมือง เป็นต้น ในที่นี้จะใช้ว่านิทานพื้นบ้าน
การแบ่งประเภทของนิทานพื้นบ้าน
         เมื่อพูดถึงนิทานพื้นบ้าน ผู้ฟังมักจะไม่สนใจเลยนิทานที่ฟังอยู่นั้นเป็นเป็นทานประเภทใด การจำแนกนิทานออกเป็นประเภทต่างๆ เพื่อเป็นข้อสังเกตว่านิทานพื้นบ้านบางประเภทนั้นมีเหล่าในเฉพาะบางท้องถิ่นเท่านั้น โดย ประคอง นิมมานเหมินท์ (นิทานพื้นบ้านศึกษา,2543,หน้า 7-24) ได้แบ่งนิทานพื้นบ้านออกมาได้ 11 ประเภท
         1.  นิทานมหัศจรรย์ นิทานพื้นบ้านประเภทนี้มีเรื่องราวเกี่ยวกับอิทธิปาฏิหาริย์ และความมหัศจรรย์เหนือธรรมชาติ เช่นเรื่อง สโนวไวท์ ซินเดอเรลลา และฮันเซลกับเกรเทล เป็นต้น
          2.  นิทานชีวิต นิทานพื้นบ้านประเภทนี้มีการบ่งบอกสถานที่และตัวละครชัดเจนอาจมีเรื่องของอิทธิปาฏิหาริย์หรือความมหัศจรรย์ เช่นเรื่อง ไกรทอง ขุนช้างขุนแผน และพระลอ เป็นต้น
          3. นิทานวีรบุรุษ โรบินฮู้ด เจ้าสายน้ำผึ้ง พระร่วงวาจาสิทธิ์ เป็นต้นนิทานพื้นบ้านประเภทนี้มีเนื้อเรื่องค่อนข้างยาวอาจอยู่ในโลกแห่งจินตนาการหรือโลกที่ดูเหมือนจะเป็นจริง มีส่วนคล้ายกับนิทานมหัศจรรย์และนิทานชีวิตที่พระเอกะมีลักษณะเป็นวีรบุรุษ แต่นิทานวีรบุรุษจะมีลักษณะที่เล่าถึงการผจญภัยของพระเอกคนเดียวหลายครั้งหลายหน พระเอกมีความสามารถเหนือมนุษย์ เช่นเรื่อง เฮอรคิวรีส เพอร์ซีอุส
          4.  นิทานประจำถิ่นหรือนิยายประจำถิ่น นิทานประเภทนี้มีขนาดของเรื่องไม่แน่นอนบางเรื่องสั้นบางเรื่องยาว มักเป็นเรื่องแปลกพิสดารซึ่งเชื่อว่าเคยเกิดขึ้นจริง นิทานประจำถิ่นจะอธิบายถึงความเป็นมาของสิ่งที่อยู่ในท้องถิ่นอาจเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติหรือก่อสร้างขึ้นมา หรือที่อธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในธรรมชาติในท้องถิ่น เช่นเรื่อง พระยากงพระยาพาน พระร่วง เจ้าแม่สร้อยดอกหมาก เป็นต้น
          5. นิทานอธิบายเหตุ นิทานพื้นบ้านประเภทนี้มักอธิบายถึงกำเนิดหรือความเป็นมาของสิ่งที่เกิดในธรรมชาติ อาอธิบายถึงกำเนิดของสัตว์บางชนิด สาเหตุที่สัตว์บางชนิดมีรูปร่างลักษณะต่างๆ กำเนิดของต้นไม้หรือดอกบากชนิด ความเป็นมาของดวงดาวบางดวง หรือบางกลุ่ม เป็นต้น
          6.  ตำนานปรัมปรา เป็นเรื่องที่อธิบายถึงกำเนิดของจักวาล มนุษย์ สัตว์ ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ เช่น ลม ฝน กลางวันกลางคืน ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า ความเป็นมาของชนชั้นผู้นำ ลำดับชั้นและบทบาทของมนุษย์ ตลอดจนพิธีกรรมและการประพฤติปฏิบัติต่างๆ ว่าเกิดขึ้นเมื่อไร เพราะเหตุใด
          7.  นิทานสัตว์ เป็นเรื่องราวที่สัตว์เป็นตัวเอก นิทานสัตว์โดยทั่วไปมักแสดงให้เห็นความฉลาดของสัตว์ชนิดหนึ่งและความโง่ของสัตว์ชนิดหนึ่ง ความน่าสนใจของเรื่องอยู่ที่ความขบขันจากการหลอกลวง หรือการตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากที่ไม่น่าเป็นไปได้ของสัตว์ อันเนื่องมากความโง่ของมัน          8.  มุขตลก มักมีขนาดสั้น โครงเรื่องไม่ซับซ้อน ตัวละครอาเป็นมนุษย์หรือสัตว์ก็ได้ จุดสำคัญของเรื่องอยู่ที่ความไม่น่าเป็นไปได้ต่างๆ
          9.  นิทานศาสนา เป็นเรื่องเกี่ยวกับศาสนา แต่ไม่ใช่ประเภทเทวปกรณ์ เช่นเรื่องเล่าเกี่ยวกับพระเยซูและนักบุญต่างๆในคริสต์ศาสนา ซึ่งไม่ปรากฏในพระคัมภีร์ เกี่ยวกับพระพุทธเจ้าและพระสาวกซึ่งไม่มีอยู่ในพระไตรปิฎกอยู่หลายเรื่อง
          11.  นิทานเรื่องผี มีอยู่ในทุกสังคม ผีบางประเภทไม่ปรากฏแน่ชัดว่ามาจากไหน เกิดขึ้นได้อย่างไร
          12. นิทานเข้าแบบ หมายถึงนิทานที่มีแบบแผนในการเล่าพิเศษนิทานประเภทนี้โครงเรื่องมีความสำคัญเป็นรองของแบบแผนในการเล่า การเล่าเพื่อความสนุกสนานของผู้เล่าและผู้ฟังโดยแท้ บางเรื่องอาจใช้ในการเล่นเกม มีหลายแบบ เช่น นิทานลูกโซ่ นิทานหลอกผู้ฟัง นิทานไม่จบเรื่อง นิทานไม่รู้จบ
          ซึ่งการแบ่งประเภทในข้างต้นทำให้ทราบว่า นิทานพื้นบ้านมีหลากหลายประเภทโดยแบ่งตามเนื้อเรื่อง ตัวละคร เหตุการณ์ และกลวิธีการเล่าเรื่อง และการแบ่งประเภททำให้การจดจำในหมวดหมู่ง่ายขึ้น วิเคราะห์เรื่องได้ง่ายขึ้น และมองเห็นภาพรวมของเรื่องได้ดีขึ้น
องค์ประกอบของนิทานพื้นบ้าน
          ประคอง นิมมานเหมินท์ (นิทานพื้นบ้านศึกษา, 2543, หน้า 33-42) ได้วิเคราะห์องค์ประกอบของนิทานพื้นบ้านออกมาเป็นสัดส่วนที่แน่ชัด คือ แบบเรื่อง สำนวน อนุภาค และกฎ เพื่อง่ายต่อการเจาะจงเป็นส่วนๆ ดังนี้
          แบบเรื่องนิทานพื้นบ้าน
         แบบเรื่องนิทานพื้นบ้าน เป็นคำศัพท์ที่ใช้ในการแบ่งประเภทนิทานพื้นบ้านอย่างละเอียด โดยแบ่งตามแบบของเรื่องนิทานพื้นบ้าน 1 แบบเรื่อง หมายถึงนิทานพื้นบ้านเรื่องหนึ่งซึ่งมีความสมบูรณ์ในตัว สามารถนำไปเล่าได้โดยอิสระ ไม่ต้องอาศัยความหมาย หรือเนื้อความนิทานเรื่องอื่นใดอีก เช่น เรื่องพระยากงพระยาพาน เรื่องนางสิบสอง เรื่องโสนน้อยเรือนงาม ทั้งสามเรื่องเป็นเรื่องราวที่ไม่เหมือนกัน แต่ละเรื่องสามารถนำไปเล่าได้โดยอิสระ กล่าวได้ว่านิทานสามเรื่องดังกล่าว มีแบบเรื่องไปคนละแบบ ทั้งสามเรื่องนี้จึงเป็นนิทาน สามแบบเรื่อง
         สำนวนของนิทานพื้นบ้าน
         คำว่า สำนวน เป็นคำศัพท์ที่ใช้กับนิทานพื้นบ้านเรื่องเดียวกันแต่เก็บจากที่ต่างๆกัน หรือเก็บจากผู้เล่าคนเดียวกันแต่ต่างเวลากัน นิทานที่เก็บได้จากผู้เล่าคนหนึ่งหรือครั้งหนึ่ง ก็เป็นนิทานสำนวนหนึ่ง ถ้าเก็บได้จาก 50 แหล่ง ก็ถือว่านิทานเรื่องนั้น 50 สำนวน นิทานเรื่องเดียวกันแต่ต่างสำนวนเช่นนี้อาจมีลักษณะตรงกันหรือแตกต่างกัน มากบ้าง น้อยบ้าง ความแตกต่างขึ้นอยู่กับสาเหตุหลายประการเช่น คำจำของผู้เล่า เพศและวัยของผู้เล่า เป็นต้น ผู้ฟังมีส่วนทำให้เรื่องที่เล่ามีลักษณะแตกต่างกัน มุขตลกบางเรื่องจะเล่าก็ต่อเมื่อมีผู้ฟังเป็นชายล้วน หรือถ้ามีผู้ฟังเป็นผู้หญิง วิธีการเล่าก็อาจแตกต่างไป มีการขัดเกลาให้เรื่องสุภาพหรือนุ่มนวลขึ้น
         อนุภาคในนิทานพื้นบ้าน
         คำว่า อนุภาคที่ใช่เกี่ยวกับนิทานพื้นบ้าน เป็นคำที่มีความหมายพิเศษ Smith Thompson อธิบายความหมายของอนุภาคไว้ว่า “องค์ประกอบเล็กๆในเรื่องใดเรื่องหนึ่งมีลักษณะเด่นเป็นพิเศษทำให้เกิดการจดจำและเล่าสืบทอดกันต่อ” อนุภาคจึงมักเป็นสิ่งที่แปลกสะดุดตา สำหรับองค์ประกอบที่จัดเป็นอนุภาคได้แบ่งเป็น 3 ประเภท คือ ตัวละคร วัตถุหรือสิ่งของ และเหตุการณ์หรือพฤติกรรม
         กฎเกี่ยวกับนิทานพื้นบ้าน
           เอกเซล โอลริค นักคติชนวิทยาชาวเดนมาร์กผู้เสนอข้อสังเกตที่ได้จากการศึกษานิทานพื้นบ้านขึ้น เรียกกันว่า กฎเกี่ยวกับนิทานพื้นบ้าน โอลริคได้เสนอรายงานเกี่ยวกับการศึกษาของเขาต่อที่ประชุมที่กรุงเบอร์ลิน ในปี ค.ศ. 1908 กฎเกี่ยวกับนิทานพื้นบ้านมีดังนี้
          1.  กฎของการเรื่องเรื่องและจบเรื่อง การเริ่มเรื่องในนิทานพื้นบ้านจะไม่นำเข้าสู่เหตุการณ์สำคัญในทันที และไม่จบลงอย่างกะทันหัน เนื้อเรื่องจะเริ่มจากภาวะที่สงบสุขไปสู่เหตุการณ์ที่ตื่นเต้น และตอนจบเรื่องนั้น เหตุการณ์จะค่อยคลี่คลายไปสู่ภาวะปกติก่อนจึง    
          2.  กฎแห่งการซ้ำ ในนิทานพื้นบ้านมักมีการซ้ำ และการซ้ำมักมีจำนวน 3 ครั้ง การซ้ำนอกจากทำให้เหตุการณ์ดูเข้มข้นแล้วยังช่วยดำเนินเรื่องไปได้ยาวขึ้น
          3.  กฎแห่งตัวละคร 2 ตัว ต่อ 1 ฉาก ในนิทานพื้นบ้านนั้น แต่ละฉากจะมีตัวละครที่แสดงบทบาทต่อกันเพียง 2 ตัวกฎนี้เป็นกฎที่เคร่งครัดมาก แม้ว่าบางฉากจะมีตัวละครมากกว่า 2 ตัว แต่จะมีตัวละครเพียง 2 ตัวเท่านั้นที่มีบทบาทสำคัญ
          4.  กฎแห่งความแตกต่างแบบตรงกันข้าม กฎข้อนี้สังเกตได้จากลักษณะของตัวละคร ในนิทานพื้นบ้านมักจะมีตัวละครซึ่งมีบุคลิกลักษณะแตกต่างกันแบบตรงกันข้าม  เช่น  คนใจดีกับคนใจร้าย คนยากจนกับคนร่ำรวย คนแกกับเด็ก เป็นต้น
          5.  กฎแห่งฝาแฝด คำว่าฝาแฝดในที่นี้ใช่ในความหมายกว้าง อาจหมายถึงน้องที่เป็นฝาแฝดหรือไม่ก็ก็ได้ หรืออาจหมายถึงคน 2 ที่มีบทบาทเสมอกันหรือเป็นเพื่อนกันก็ได้
          6.  ความสำคัญของตำแหน่งต้นกับตำแหน่งท้าย ถ้าตัวละครเป็นพี่น้องกันหลายๆคน อาจกล่าวถึงผู้อาวุโสก่อนแต่จุดสนใจอยู่ทีคนสุดท้องซึ่งแสดงบทบาทมากที่สุด
          7.  กฎของโครงเรื่องเชิงเดี่ยว นิทานพื้นบ้านจะมีโครงเรื่องที่ไม่ซับซ้อน ดำเนินเรื่องโดยอาศัยตัวละครที่เป็นแกนเดิมเป็นผู้ผสานและถ่ายทอดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่างฉากต่างวาระ ไม่เหมือนกับวรรณกรรมลายลักษณ์ ซึ่งอาจมีการย้อนไปกล่าวถึงตัวละครตัวอื่น
          8.  กฎของการสร้างแบบแผน ในนิทานพื้นบ้านมักมีแบบแผนในการเล่าซ้ำๆกัน เช่นใช้โวหารซ้ำๆกัน ในการดำเนินเรื่อง
          9.  ฉากประทับใจ ในนิทานพื้นบ้านจะมีตอนหนึ่งหรือหลายตอนซึ่งเป็นการบรรยายภาพที่น่าสนใจ อาจเป็นภาพที่น่าเศร้าสลด ภาพแห่งชัยชนะ หรือภาพแสดงความรักอย่างดูดดื่มเป็นต้น
          10.  ความสมเหตุสมผล ในนิทานพื้นบ้านอาจมีเหตุการณ์ที่เป็นเรื่องประหลาดมหัศจรรย์ เรื่องอิทธิปาฏิหาริย์ เรื่องเกี่ยวกับไสยศาสตร์ แต่เรื่องดังกล่าวมีความสมเหตุสมผลในตัวของมันเอง ผู้ฟังยอมรับได้
          11.  เอกภาพของโครงเรื่อง ในนิทานพื้นบ้าน อนุภาคและเหตุการณ์ในท้องเรื่องจะพุ่งเข้าหาโครงเรื่องใหญ่ และเน้นให้เห็นความสัมพันธ์ของตัวละครอย่างชัดเจน
          12.  การเพ่งจุดสนใจที่ตัวละครเอกเพียงตัวเดียว โครงเรื่องมักจะดำเนินคู่ไปกับพฤติกรรมของตัวเอกหรือเรื่องราวเกี่ยวกับตัวเอก
          จากการอธิบายปลีกย่อยในข้างต้นทำให้เราทราบถึงองค์ประกอบและการใช้ข้องสังเกตในการวิเคราะห์องค์ประกอบส่วนต่างๆของนิทานพื้นบ้าน อาทิเช่น ข้อเปรียบเทียบ จุดสังเกต หรือข้อสงสัย
ที่มาของนิทานพื้นบ้านไทย
         เมื่อเราได้ฟังนิทานพื้นบ้านมากมายหลายเรื่อง หลายท้องถิ่นหลากภูมิภาค โดยเนื้อเรื่องของนิทานพื้นบ้านมักซ้ำกันในภูมิภาคแต่ในส่วนปลีกย่อยของนิทานจะมีการผันเปลี่ยนกันไปตามสำนวนของผู้เล่าในตามแต่ละท้องถิ่น จึงมีนักวิชาการศึกษาทีมาของนิทานพื้นบ้านแล้วไว้ดังนี้
         โชติ ศรีสุวรรณ (นิทานพื้นบ้าน ภูมิปัญญาทางภาษา,2546,หน้า 11) ได้กล่าวไว้ว่า “นิทานพื้นบานมีที่มา 2 ทางคือ นิทานภายในประเทศ และ นิทานจากต่างประเทศ”
         ประคอง นิมมานเหมินท์ (นิทานพื้นบ้านศึกษา,2543,หน้า 91-92) ได้กล่าวว่า นิทานพื้นบ้านนั้นมีที่มาอยู่ด้วยกัน 3 ประเภท คือ เกิดขึ้นในประเทศ มีที่มาจากต่างประเทศ และจากวรรณกรรมลายลักษณ์ และได้อธิบายชี้แจงไว้ดังนี้
          1.  เกิดขึ้นในประเทศ นิทานพื้นบ้านบางเรื่อง เมื่อพิจารณาจากลักษณะตัวละครและลักษณะองเรื่องแล้วอาจสันนิษฐานได้ว่า น่าจะมีถิ่นกำเนิดในประเทศไทย นิทานดังกล่าวเช่น มุขตลก เรื่องนายทอง มุขตลกเกี่ยวกับคนต่างชาติ เรื่องผี เช่น นางนาคพระโขนง และนิทานชีวิตเรื่อง ไกรทอง และขุนช้างขุนแผน เป็นต้น อย่างไรก็ดี ไม่อาจสืบได้ว่า นิทานเหล่านี้เกิดขึ้นแต่เมื่อใด ใครเป็นผู้คิดค้น และใครเล่าเป็นคนแรก
          2.  มีที่มาจากต่างประเทศ นิทานไทยมีที่มาจากต่างประเทศคือประเทศอินเดีย ลังกา และประเทศทางตะวันตก ที่มาจากอินเดียและลังกา เช่น รามายณะ มีแพร่กระจายในท้องที่ต่างๆ ทั่วประเทศ นิทานไทยบางเรื่องเป็นนิทานจากอรรถกถาชาดก เช่น มหาเวสสันดรชาดก พระยาฉัททันต์ มโหสถ สุวรรณสาม เป็นต้น บางเรื่องมาจากธัมมปทัฏฐกถา เช่น พระเจ้าอุเทน เป็นต้น หรือมาจากนิทานอีสป เช่น นิทานเรื่องกระต่ายกับเต่า ลูกแพะกับหมาป่า เด็กเลี้ยงแกะ เป็นต้น นิทานเล่าสู่กันฟังในหมู่คนไทยปัจจุบัน โดยเฉพาะกลุ่มผู้การศึกษา อาจกล่าวได้ว่าเป็นนิทานฝรั่ง เช่น เรื่องสโนไวท์ หนูน้อยหมวกแดง พีน๊อคชีโอ เจ้าหญิงนิทรา และ เงือกน้อย เป็นต้น
          3.  จากวรรณกรรมลายลักษณ์ วรรณกรรมลายลักษณ์เหล่านี้อาจเคยเป็นวรรณกรรมรูปแบบมุขปาฐะมาก่อน คือเดิมอาจเป็นนิทานเล่าสู่กันฟัง แล้วภายหลังมีผู้รวบรวมขึ้นแล้วบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร เมื่อมีคนอ่านผู้อ่านก็อาจจะนำไปเล่าต่ออีก วรรณกรรมลายลักษณ์และวรรณกรรมมุขปาฐะของไทยจึงมีความสำพันธ์กันอย่างแน่นแฟ้น ถ่ายทอดกันไปมา นิทานที่เล่าสู่กันฟังหลายเรื่องมีเนื้อความตรงกับนิทานในปัญญาสชาดกและชาดกนอกนิบาตอื่นๆ เช่น เรื่องสังข์ทอง สังข์ศิลป์ไชย พระสุธน หงส์ผาคำ ก่ำกาดำ การะเกด ฯลฯ น่าสังเกตว่านิทานเหล่านี้โดยมากมีลักษณะรูปแบบเป็นนิทานมหัศจรรย์ ยิ่งภายหลังเมื่อการพิมพ์หนังสือจำหน่ายอย่างแพร่หลาย ผู้เล่านิทานบางคนก็นำนิทานที่ตนเคยอ่านมาเล่าต่อ เห็นได้ชัดจากการเล่านิทานเรื่องดาวเรืองและลักษณวงศ์ในหนังสือวรรณกรรมจากบ้านใน เมื่อ ดร.กิ่งแก้ว อัตถากร ถามผู้เล่าว่า ได้ฟังนิทานเรื่องดังกล่าวมาจากไหน ผู้เล่าก็ตอบว่าเคยอ่านหนังสือที่มาจากโรงพิมพ์วัดเกาะ
         จากคำกล่าวและคำอธิบายชี้แจ้งของนักวิชาการทั้งสองท่านสามารถชี้ให้เห็นถึงที่มาของนิทานพื้นบ้านไทย อย่างมีหลักการเหตุผลที่น่าเชื่อถือ และยังสามารถจำแนกแหล่งที่มาเพื่อให้ง่ายต่อการสืบค้น อีกทั้งบ่งบอกถึงการรับวัฒนธรรมและวรรณกรรมต่างชาติเข้ามายังประเทศไทยในประวัติศาสตร์
นิทานพื้นบ้านกับความเชื่อและวัฒนธรรมของไทย
         นิทานพื้นบ้านหลายเรื่องแสดงให้เห็นวัฒนธรรมและความเชื่อของผู้คนแต่ละท้องถิ่นในประเทศไทย เช่น การทำการเกษตร การเดินทาง การตั้งชื่อ การสาปแช่ง การอวยพร การมีความกตัญญู  อีกการกระทำต่างๆไปจนถึงคติเตือนใจ ฯลฯ ทำให้เห็นว่ามีความมุ่งหมายแฝงของบรรพบุรุษในการอบรมและการกล่อมเกลาพฤติกรรมของบุคคลในสังคมอย่างแนบเนียน สิ่งเหล่านี้ล้วนบอกเล่าผ่านนิทานพื้นบ้านทั้งสิ้น
         ประคอง นิมมานเหมินท์ (นิทานพื้นบ้านศึกษา,2543,หน้า 94-95) ได้ให้ข้อมูลว่า “...อาจสังเกตภาพสะท้อนสังคมและวัฒนธรรมไทยเพิ่มเติมได้จากตัวอย่างนิทานพื้นบ้านประเภทต่างๆ...อาจสรุปได้ว่านิทานพื้นบ้านของไทยเป็นข้อมูลสำคัญประเภทหนึ่ง ที่อาจนำมาใช้ในการศึกษาเกี่ยวกับลักษณะสังคมและวิถีชีวิตของคนไทยได้ มีข้อควรคำนึงคือ หากศึกษาอย่างจริงจังแล้ว ควรใช้ข้อมูลอื่นมาประกอบด้วย เพราะนิทานพื้นบ้านบางเรื่องหรือบางส่วนอาจเป็นเรื่องจินตนาการ ไม่ใช้ข้อเท็จจริงทั้งหมด และบางเรื่องอาจมีลักษณะตรงข้ามข้อเท็จจริงได้”
         อารี ถาวรเศรษฐ์ (คติชนวิทยา,2546,หน้า 145) ได้สรุปเนื้อหาเกี่ยวกับความเชื่อของสังคมไทยไว้ว่า “ความเชื่อเป็นคติชนวิทยาประเภทมีเนื้อหา รายละเอียดหลากหลาย และมีบทบาทในการกำหนดรูปแบบพฤติกรรมของมนุษย์แต่เก่าก่อน เมื่อวิทยาการและเทคโนโลยีเจริญขึ้น ลักษณะความซับซ้อนที่เพิ่มขึ้นในสังคมเมืองและการรับวัฒนธรรมตะวันตกมีผลกระทบต่อรูปแบบและพิธีกรรมความเชื่อบางประการ การสื่อสารการคมนาคนเป็นปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่งที่มีผลต่อความเชื่อ อย่างไรก็ดีการศึกษาความเชื่อโดยการรู้จักวิเคราะห์คุณค่าจะทำให้ผู้ศึกษาตระหนักถึงความเฉลียวฉลาด ความรอบคอบ ความมีไมตรีจิต ของบรรพบุรุษในการสร้างคน สร้างสังคม และรักษาประเทศชาติมาจนปัจจุบัน”
         ดังนั้น จึงสรุปบทความนี้ได้ว่า นิทานพื้นบ้านเป็นวรรณกรรมประเภทหนึ่งทั้งในรูปแบบมุขปาฐะหรือลายลักษณ์อักษร โดยใช้กลวิธีการเล่าเรื่องเพื่ออบรมสั่งสอนผู้ฟัง อีกทั้งยังให้ความสนุกสนานเพลิดเพลินอีกด้วย และนิทานพื้นบ้านไทยยังเป็นมรดกทางปัญญาของประเทศไทยที่สุดแสนจะมีคุณค่าเกินจะประเมิน สืบทอดกันมาเป็นเวลายาวนาน  อีกทั้งยังเกี่ยวโยงกับความเชื่อต่างๆเพื่อเป็นยึดถือยึดมั่นแก่คนในสังคมตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เพื่อกล่อมเกลาคนในในสังคมให้เป็นที่บุคคลเจริญในทางด้าน ร่างกาย วาจา และจิตใจ

บรรณานุกรม
darat. (2550). ตำนาน. สืบค้น ตุลาคม 24,2558, จาก  
         http://www.oknation.net/blog/darat/2007/08/17/entry-4
waree. (2550). คุณค่านิทานพื้นบ้าน. สืบค้น ตุลาคม 24,2558, จาก
            https://blog.eduzones.com/togoo/1446
โชติ ศรีสุวรรณ. (2546) นิทานพื้นบ้าน ภูมิปัญญาทางภาษา. กรุงเทพฯ : สถาพรบุ๊คส์.
นิทานพื้นบ้าน. (2554). สืบค้น ตุลาคม 24,2558, จาก http://xn--o3cdbaaf0a2nen1byqc.rakjung.com/
ประคอง นิมมานเหมินท์. (2543) นิทานพื้นบ้านศึกษา. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

อารี ถาวรเศรษฐ์. (2546) คติชนวิทยา. กรุงเทพฯ : พัฒนาศึกษา

ความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

บอกลาฝีมือการวาดรูปสุดห่วย เพราะตอนนี้ใครก็วาดรูปสวยได้ ด้วย Auto Draw